คำถามที่พบบ่อย | Glentapharma
top of page

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสินค้า

1. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo เหมาะกับใครบ้าง

A : ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo เหมาะกับทุกช่วงวัย โดยในวัยเด็ก จะช่วยให้มีการเจริญเติบโตของกระดูกและกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์แข็งแรง ซึ่งสำคัญต่อการเพิ่มความสูงในวัยเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยทองของการเจริญเติบโต (Growth Spurt) ในขณะที่วัยผู้ใหญ่ จะช่วยบรรเทาอาการปวดข้อจากภาวะข้อเสื่อม รวมถึงป้องกันหรือชะลอการเกิดกระดูกพรุนได้

2. น้องอายุ 1.6 ปี ไม่ยอมทานนม มีวิธีไหนบ้างที่ทำให้ลูกทานนม

A: สาเหตุที่ไม่กินนม มีได้หลายสาเหตุ คุณพ่อแม่ต้องลองสังเกตพฤติกรรมการกินดู ว่าอาจเป็นจากสาเหตุอะไร เช่น ติดเล่นติดขนม/น้ำหวาน รสชาติไม่ถูกปาก กินนมแล้วไม่สบายท้อง (ท้องผูก ท้องเสีย ท้องอืด) เป็นต้น   โดยอาจปรับวิธีการกินได้ดังนี้

         - กินอาหารให้เป็นเวลา 3 มื้อ นมเป็นอาหารเสริม 2-3 แก้ว หรือ กล่อง / วัน อาจให้กินนมห่างจากมื้ออาหารหลัก เพราะเด็กอาจจะอิ่มข้าวเลยทำให้ไม่กินนม (นมสด รสจืด1กล่อง เช่น 200 ซีซี มีแคลเซียมประมาณ 226 mg ให้โปรตีน ประมาณ 8 กรัม)

         - เด็กอาจเบื่อรสชาติ ในวัยนี้สามารถทานนมผง นมกล่อง นมชง ได้แล้ว อาจลองเปลี่ยนยี่ห้อ เปลี่ยนรสชาติอาจถูกปากมากขึ้น แต่ไม่ควรหวานมากเพราะอาจเกิดภาวะอ้วนตามมา

         - ติดหวาน พยายามลดความหวานลง เน้นให้ทานนมรสจืดมากกว่า

อาจต้องใช้เวลาในการกระตุ้นสักระยะ

         - สร้างระเบียบวินัยในการกิน กินให้เป็นเวลา. ลดขนม/น้ำหวาน

ไม่เล่นไปด้วยในขณะที่ถึงเวลากิน

         - สร้างบรรยากาศในการกิน ไม่บังคับขู่เข็ญ

         - เปิดโอกาสให้เด็กได้ลองเลือกด้วยตัวเอง

         - อาจให้ผลิตภัณฑ์ จากนมรูปแบบอื่นเสริม เช่น โยเกิร์ต, ชีส เสริมได้

แต่อยากให้เน้นนมจืดมากกว่า

3. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo มีผลข้างเคียงหรือไม่

A : ไม่มีผลข้างเคียง สามารถรับประทานได้อย่างต่อเนื่อง หรือหยุดรับประทานได้ทันทีโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆต่อสุขภาพร่างกาย เนื่องจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ประกอบไปด้วยสารอาหารที่เป็นโภชนาการจำเป็นที่ร่างกายต้องได้รับในทุกวัน

4. รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo

อย่างไรให้ได้ประสิทธิภาพดีที่สุด

A : รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ตามปริมาณที่แนะนำ โดยรับประทานหลังอาหารครั้งละ 1 เม็ด วันละ 1-3 ครั้ง ขึ้นกับโภชนาการหรือปริมาณสารอาหารที่ได้รับในแต่ละวัน หากวันไหนรับประทานอาหารไม่ครบถ้วน หรือรับประทานน้อยกว่าปกติ ก็อาจจะรับประทาน 2-3 เม็ดต่อวัน หรือหากวันไหนรับประทานอาหารได้ครบถ้วนสมบูรณ์ดี ก็อาจจะรับประทานเสริมเพียงวันละ 1 เม็ด ทั้งนี้ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ(อย่างน้อย 8 ชั่วโมงและควรเริ่มนอนไม่ควรเกิน 22.00 น ) ทำจิตใจให้แจ่มใส ลดความเครียด เพื่อให้ร่างกายได้เจริญเติบโตอย่างเต็มศักยภาพอีกด้วย

5. ต้องรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo นานเท่าไรจึงจะเห็นผล

A : ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของกระดูก กล้ามเนื้อ และร่างกายให้มีความสมบูรณ์แข็งแรง ซึ่งจำเป็นและสำคัญต่อการเพิ่มความสูง แต่เนื่องจากมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น เพศ อายุ สุขภาพร่างกาย โรคประจำตัว เป็นต้น ทำให้การเห็นผลลัพธ์ช้าเร็วในแต่ละคนไม่เท่ากัน จึงแนะนำว่าสามารถรับประทานต่อเนื่องได้เรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงวัยที่เด็กกำลังสูง หรือในช่วงวัยทองของการเจริญเติบโต หรือในวัยผู้ใหญ่ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ บรรเทาอาการปวดข้อจากภาวะข้อเสื่อม ชะลอการเกิดกระดูกพรุน ทั้งนี้ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้แจ่มใส ลดความเครียด เพื่อให้ร่างกายนำประโยชน์ของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ไปใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและเกิดผลลัพธ์ที่ดีมากที่สุด

6. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo สามารถเริ่มรับประทานได้ตั้งแต่อายุเท่าไร และแนะนำว่าอายุเท่าไรจึงจะควรเริ่มรับประทานเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพ

มากที่สุด

A : ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo สามารถเริ่มรับประทานได้ตั้งแต่อายุ 8 ปี เนื่องจากช่วงวัยก่อนเข้าสู่วัยรุ่น จะเป็นช่วงที่ร่างกายได้รับความสูงจากช่วงนี้มากที่สุด ถึงประมาณ 40% ของความสูงทั้งหมด ส่วนในช่วงวัยรุ่นเองก็มีส่วนช่วยให้สูงได้ประมาณ 15% เพราะฉะนั้น ช่วงวัยที่แนะนำว่าควรรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการเพิ่มความสูงมากที่สุด คือช่วง 8-18 ปี

7. สามารถรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ต่อเนื่องได้นานเท่าไร

A : สามารถรับประทานต่อเนื่องได้ตลอดชีวิต เพื่อให้ร่างกายให้ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างครบถ้วนอยู่เสมอ ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโต ซ่อมแซม และสร้างเสริมความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกาย เพิ่มเติมจากการรับประทานอาหารในชีวิตประจำวันที่อาจจะไม่ครบถ้วนเพียงพอ

8. เมื่อรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ต่อเนื่องไปนานๆจะสะสมในร่างกายหรือไม่

A : ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ไม่สะสมในร่างกาย แม้จะรับประทานต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เนื่องจาก ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HIGo ประกอบไปด้วยสารอาหารที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ ในปริมาณที่เหมาะสม เมื่อร่างกายนำสารอาหารเหล่านั้นไปใช้อย่างเพียงพอแล้ว ก็สามารถขับออกผ่านกระบวนการขับของเสียต่างๆในร่างกายได้ตามปกติ เช่นเดียวกับอาหารอื่นๆที่เราได้รับในชีวิตประจำวัน

9. สามารถรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ในปริมาณที่มากกว่าจำนวนที่ระบุข้างกล่องได้หรือไม่

A : ไม่แนะนำให้รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo มากกว่าปริมาณที่แนะนำไว้ข้างกล่อง เนื่องจาก ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวัน จะให้ปริมาณสารสกัดต่างๆในขนาดที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยตามมาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยาแล้ว

10. ข้อห้ามหรือข้อควรระวังในการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo

A : ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์และสตรีที่กำลังให้นมบุตร ผู้ที่แพ้ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ซึ่งมีผลิตภัณฑ์จากนม และปลา นอกจากนี้ยังรวมถึงการแพ้ส่วนประกอบของแคปซูล เช่น เจลาติน ด้วย

11. ผู้ที่มีโรคประจำตัวสามารถรับประทาน

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ได้หรือไม่

A : ผู้ที่มีโรคประจำตัวสามารถรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ได้ เพราะผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo เป็นเพียงผลิตภัณฑ์ที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของร่างกาย กระดูกและกล้ามเนื้อ แต่ไม่มีผลในการรักษา บำบัดโรคใดๆทั้งสิ้น ทั้งนี้ ผู้ที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทุกชนิดเสมอ

12. สามารถรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ร่วมกับยารักษาโรคประจำตัวหรือยาที่แพทย์สั่งได้หรือไม่

A: สามารถรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ร่วมกับยารักษาโรคประจำตัวหรือยาที่แพทย์สั่งได้ และห้ามหยุดรับประทานยาเองโดยไม่มีคำสั่งจากแพทย์โดยเด็ดขาด เพราะผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGoไม่มีผลในการรักษาบำบัดโรคใดๆทั้งสิ้น ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทุกชนิดเสมอ

13. สามารถรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ในผู้ที่มีประวัติแพ้อาหารทะเลได้หรือไม่

A : เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค แนะนำให้หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ในผู้ที่มีประวัติแพ้อาหารทะเล

14. สามารถรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo

ในผู้ที่มีประวัติแพ้นมได้หรือไม่

A : ในผู้ที่มีประวัติแพ้นม ไม่สามารถรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ได้ เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์จากนมเป็นส่วนประกอบ แต่ผู้ที่มีภาวะย่อยน้ำตาลแลกโตสบกพร่อง สามารถรับประทานได้ เนื่องจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ใช้เวย์โปรตีน ไอโซเลต (Whey protein isolate) ที่มีปริมาณน้ำตาลแลกโตสอยู่น้อยมากๆ อย่างไรก็ตาม หากผู้ใช้มีประวัติการย่อยน้ำตาลแลกโตสบกพร่อง ควรรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ด้วยความระมัดระวัง ร่วมกับการสังเกตอาการที่อาจเกิดขึ้นจากภาวะย่อยน้ำตาลแลกโตสบกพร่อง เช่น ปวดท้อง ท้องอืด มีลมในทางเดินอาหาร แน่นท้อง ไม่สบายท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น

15. ผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ/รับประทานเจสามารถรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ได้หรือไม่

A : ผู้ที่รับประทานมังสวิรัต/รับประทานเจ ไม่สามารถรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ได้ เนื่องจากมีส่วนประกอบของนม และปลา

16. สตรีมีครรภ์และให้นมบุตรสามารถรับประทาน

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ได้หรือไม่

A : สตรีมีครรภ์และสตรีกำลังให้นมบุตรไม่ควรรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo

17. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ได้มาตรฐานและปลอดภัยจริงหรือไม่

A : ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo มีความปลอดภัย เนื่องจากได้ผ่านการพิจารณาด้านประสิทธิภาพ คุณภาพ และความปลอดภัย ถูกต้องตรงตามมาตรฐานเกณฑ์การผลิตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อีกทั้งยังผลิตด้วยโรงงานที่ได้มาตรฐานระดับโลก ทั้ง GMP, HACCP และ ISO

18. ทำไมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ถึงมีราคาแพงกว่ายี่ห้ออื่น/ราคาแพงจัง สามารถลดราคาลงอีกได้หรือไม่

A : ถ้าหากเทียบกับประสิทธิภาพและความคุ้มค่าของผลิตภัณฑ์ที่รับประทานแล้วเห็นผลลัพธ์เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แบบนี้ถือว่าราคาไม่แพง แต่ถ้าหากสินค้าหรือผลิตภัณฑ์มีราคาถูกแต่รับประทานแล้วไม่เกิดผลลัพธ์ที่ดี แบบนี้ถึงจะเรียกว่าแพง ไม่สามารถลดราคาได้ เนื่องจากเราคัดสรรและเลือกใช้เฉพาะสารสกัดคุณภาพสูง นำเข้าจากต่างประเทศ ผลิตโดยโรงงานที่ได้มาตรฐานระดับโลก (GMP, HACCP, ISO)  ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ โดยนำนวัตกรรมเฉพาะของโรงงานแต่เพียงผู้เดียวเพื่อมาเพิ่มความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ให้ได้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทได้มีโปรโมชั่นช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับลูกค้าที่รับประทานอย่างต่อเนื่องอยู่เสมอ โดยสามารถติดตามราคาโปรโมชั่นได้ทุกช่องทางของผลิตภัณฑ์

19. เด็กผู้หญิงที่เริ่มมีประจำเดือนแล้วจะหยุดสูงจริงหรือไหม แล้วจะมีโอกาสสูงได้อีกกี่ปีหลังจากเริ่มมีประจำเดือน

A : เด็กผู้หญิงที่เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์และเริ่มมีประจำเดือนแล้วจะส่งผลให้ร่างกายเริ่มชะลอการเจริญเติบโตในด้านความสูงแล้ว เนื่องจากผลของฮอร์โมนเพศ แต่ยังสามารถเร่งให้สูงได้อีก 1-2 ปี หลังจากเริ่มมีประจำเดือน เพราะฉะนั้นในช่วง 1-2 ปีนี้ จึงเป็นช่วงที่ต้องได้รับสารอาหารอย่างและดูแลเรื่องโภชนาการอย่างครบถ้วน ร่วมกับการออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจให้แข็งแรง เพื่อให้เด็กผู้หญิงหลังเริ่มมีประจำเดือนสามารถสูงได้เต็มที่ที่สุดเท่าที่ศักยภาพร่างกายจะทำได้

20. สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กังวลเรื่องความสูงของลูกในวัยทารกว่ามีความสูงไม่เป็นไปตามเกณฑ์ มีคำแนะนำอย่างไรบ้าง

Ex. เคยมีคนถามในเพจ ลูกชาย 8 เดือน สูงแค่ 66 ซม เทียบกราฟแล้วตัวเตี้ย มีทางไหนช่วยให้น้องสูงบ้างคะ พ่อแม่สูง 160 ซม ทั้งคู่

A : เด็กทารก คือ ช่วงวัยตั้งแต่ 1 เดือนถึง 1 ปี สำหรับการติดตามอัตราการเจริญเติบโตของเด็กทารกจะต้องอาศัยหลายอย่างประกอบกัน ทั้งน้ำหนัก ความยาว รวมถึงประวัติตั้งแต่แรกเกิด และที่สำคัญการวัดความยาวของตัวเด็กทารกจะต้องวัดด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ทั้งนี้อาจะมีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้เด็กทารกตัวเล็ก สิ่งสำคัญก็คือโภชนาการ และการนอนหลับพักผ่อน ในเด็กวัยนี้ ในช่วง 6 เดือน ถึง 1 ปี อาจจะให้เริ่มอาหารเสริม 2 มื้อ นอกเหนือจากนมแม่ได้แล้ว เพราะโภชนาการที่ดี จะช่วยให้เด็กมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ดีได้ เด็กวัยทารกมีการเจริญเติบโตที่รวดเร็วมาก คุณพ่อคุณแม่ควรติดตามการเจริญเติบโตของลูกน้อยอย่างสม่ำเสมอ ดูแนวโน้มทั้งน้ำหนัก และส่วนสูงว่าเป็นไปตามเกณฑ์หรือไม่ ทั้งนี้ หากติดตามอัตราการเจริญเติบโตของลูกอย่างสม่ำเสมอและถูกต้องแล้วพบว่า ลูกน้อยมีการเจริญเติบโตไม่เป็นตามเกณฑ์ อาจแนะนำให้ไปพบกุมารแพทย์ เพื่อตรวจและซักประวัติเพิ่มเติม

*** คำถามพวกนี้ เราคงตอบอ้อมๆได้ประมาณนี้ เราไม่สามารถตอบปัญหาสุขภาพให้ทุกคนได้ เพราะในการวินิจฉัย แพทย์ต้องเห็นเด็ก และได้ตรวจเด็กจริงๆ ถามประวัติเยอะมากกว่านี้.

และในการตรวจ OPD.แต่ละครั้งยังต้องใช้เวลา 30 นาทีในการตรวจ ***

               คำถามแบบนี้ต้องมาอีกเยอะ เราทำได้แค่ให้คำแนะนำ. และคงแนะนำให้ไปตรวจกับกุมารแพทย์หากตกเกณฑ์จริงๆครับ
 

21. คุณพ่อคุณแม่บางท่านอาจจะได้รับคำแนะนำจากคุณหมอว่าถ้าอยากให้ลูกสูงจะต้องได้รับแร่ธาตุสังกะสี (zinc) และเหล็ก (iron) เพิ่มเติม จำเป็นหรือไม่ และมีคำแนะนำอย่างไรบ้าง

A : หากไม่ได้มีข้อห้ามในการรับประทานแร่ธาตุทั้งสองชนิด คุณพ่อคุณแม่สามารถให้ลูกรับประทานเสริมได้ เนื่องจาก แร่ธาตุทั้งสองชนิดมีความจำเป็นและสำคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย ซึ่งถ้าหากพร่องไป ก็อาจจะทำให้ร่างกายเติบโตได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร โดยแร่ธาตุสังกะสี หรือ zinc นั้น เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของกระดูก ทำให้กระดูกแข็งแรง นอกจากนี้แร่ธาตุสังกะสียังมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการสร้างกระดูกใหม่ (Bone regeneration) อีกด้วย ในขณะที่ธาตุเหล็กแม้ไม่ใช่แร่ธาตุหลักที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตด้านความสูงโดยตรง แต่ก็มีความสำคัญ เพราะ ธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบสำคัญในเม็ดเลือดแดง ซึ่งถ้าเม็ดเลือดแดงมีความแข็งแรงสมบูรณ์ ก็จะสามารถทำให้การขนส่งออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้ดี ซึ่งรวมถึงกระดูกด้วย ส่งผลให้ร่างกายสามารถเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่
ทั้งนี้ นอกจากการรับประทานอาหารเสริมเพื่อให้ได้รับแร่ธาตุสังกะสีและเหล็กแล้ว ยังสามารถได้รับแร่ธาตุทั้งสองจากอาหารประเภทต่างๆอีกด้วย อาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสีสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ ตับ อาหารทะเล โดยเฉพาะ หอยนางรม ถั่วและธัญพืชต่างๆ เป็นต้น และอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ เครื่องในสัตว์ สัตว์เนื้อแดงต่างๆ เลือด ตับ ไข่แดง อาหารทะเล เป็นต้น

22. ผู้ที่มีภาวะย่อยน้ำตาลแลกโตส บกพร่อง (Lactose intolerance) สามารถรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ได้หรือไม่

A : ผู้ที่มีภาวะย่อยน้ำตาลแลกโตส บกพร่อง (Lactose intolerance) สามารถรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ได้ แต่แนะนำให้รับประทานด้วยความระมัดระวัง และสังเกตอาการภาวะย่อยน้ำตาลแลกโตส บกพร่องร่วมด้วย เช่น ปวดท้อง ท้องอืด มีลมในทางเดินอาหาร แน่นท้อง ไม่สบายท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น เนื่องจาก ในสูตรผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HiGo ยังมีส่วนประกอบของน้ำตาลแลกโตสอยู่เล็กน้อย จากเวย์โปรตีน ไอโซเลต (Whey Protein Isolate) และ ผงโคลอสตรุม (Colostrum)

23. คุณพ่อคุณแม่มักมีคำถามว่าลูกของตัวเองจะสูงได้ปีละกี่เซนติเมตร

มีคำแนะนำอย่างไรบ้าง

A : อัตราการเจริญเติบโตของลูกจะขึ้นอยู่กับว่า ลูกได้ผ่านช่วงยืดตัว (Growth Spurt) มาแล้วหรือยัง ถ้าผ่านช่วงที่มีการยืดตัวไปแล้ว ค่าเฉลี่ยความสูงจะไม่เหมือนช่วงก่อนที่จะมีการยืดตัว เนื่องจาก อิทธิพลของฮอร์โมนเพศ ทำให้แผ่นการเจริญเติบโต (Growth Plate) ปิดลง โดยความสูงเฉลี่ยจะค่อยๆลดลงตามลำดับเป็น 5 - 7 ซม./ปี จากนั้นเหลือ 3 - 5 ซม./ปี และ 1 - 2 ซม./ปี จนหยุดสูง ในขณะที่เด็กที่กำลังเข้าสู่ช่วงยืดตัว ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ความสูงเฉลี่ยของเด็กผู้ชายจะอยู่ที่ประมาณ 10 - 14 ซม./ปี ส่วนเด็กผู้หญิงประมาณ 8 - 10 ซม./ปี แต่การจะบอกอย่างจำเพาะเจาะจงว่าในแต่ละปีลูกจะสูงได้กี่เซนติเมตรนั้นเป็นเรื่องที่ตอบไม่ได้ เนื่องจากขึ้นอยู่กับอาหาร โภชนาการ การออกกำลังกาย และการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ทั้งนี้ลูกๆยังมีโอกาสที่จะสูงขึ้นได้อีก เพียงแค่คุณพ่อคุณแม่เน้นเรื่องอาหารและโภชนการ ทั้งโปรตีน วิตามินต่างๆ ทั้งวิตามินซี วิตามิน K2 และวิตามิน D3  แคลเซียม และเกลือแร่ต่างๆ ที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของกระดูกให้เพียงพอและเต็มที่เพื่อให้ลูกน้อยเติบโตได้อย่างเต็มที่
 

24. สูตรที่ใช้คำนวณความสูง ( Mid parental height )

ในเพจ เด็กไทยโตไปต้องสูง มีที่มาจากไหน

A: ระวังเด็กโตไวเกินอายุ

สำหรับเด็กที่สูงพรวดพราดนำโด่งเพื่อนวัยเดียวกันอย่างเห็นได้ชัดให้ระวังอาจเสี่ยงเป็นโรคเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย (Precocious Puberty) ที่จะส่งผลให้เด็กมีการเจริญเติบโตเร็วในช่วงแรก และมีอายุกระดูกล้ำหน้าไปกว่าอายุจริง จากนั้นหัวกระดูกจะปิดเร็วกว่ากำหนด ทำให้เด็กที่โตเร็วในตอนแรกกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ตัวไม่สูงหรือตัวเล็กในอนาคตได้ ซึ่งโรคเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัยนี้ นอกจากจะส่งผลต่อเรื่องความสูงแล้ว ยังส่งผลต่อสภาพจิตใจของเด็กด้วย โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่มักจะมีพัฒนาการของเต้านมก่อนอายุ 8 ขวบ หรือมีประจำเดือนครั้งแรกก่อนอายุ 9 ขวบ ทำให้ร่างกายแตกต่างกับเพื่อนวัยเดียวกัน ส่วนเด็กชายสังเกตได้จากขนาดอัณฑะที่มักใหญ่กว่า 4 ซีซี เป็นต้น หากเด็กเป็นโรคนี้ควรต้องพบแพทย์เพื่อทำการรักษาชะลอความหนุ่มสาว ซึ่งแพทย์จะทำการตรวจวัดอายุกระดูก และปัจจัยอื่น ๆ อาทิ ฮอร์โมน พันธุกรรมความสูง ฯลฯ เพื่อวินิจฉัยและประเมินการรักษา รวมถึงให้คำปรึกษาว่าควรจะฉีดยาเพื่อชะลอการปิดของกระดูกเพื่อเพิ่มความสูงหรือไม่ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี

 

หากสงสัยว่าลูกของคุณสูงเร็วหรือสูงเกินวัยหรือไม่ สามารถพาลูกเข้ารับการตรวจและปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการด้านโรคเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัยโดยเฉพาะที่ศูนย์กุมารเวช โรงพยาบาลกรุงเทพ ซึ่งมีทีมแพทย์พร้อมตรวจวินิจฉัยและดูแลรักษาแบบองค์รวมครอบคลุมตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยรุ่น

25. เต้าหู้ ถั่วเหลือง ถ้าลูกสาวทานมากๆ

จะเสี่ยงต่อการเข้าสู่การเป็นสาวก่อนวัยหรือไม่

A: ในถั่วเหลืองมีสารที่เรียกว่า isoflavone ซึ่งออกฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจน แต่มีอยู่ในปริมาณที่น้อยมาก การกินถั่วเหลืองหรือผลิตภัณฑ์จาก ถั่วเหลือง ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน สามารถทานได้ปกติค่ะ   กลับกันภาวะอ้วนอาจทำให้เป็นสาวก่อนวัยได้ แนะนำทานในปริมาณปกติเช่น นมถั่วเหลือง 1-2 กล่อง/วัน.

26. ลูกสูงเกินไป มียาที่ช่วยได้หรือไม่

A: ระวังเด็กโตไวเกินอายุ

สำหรับเด็กที่สูงพรวดพราดนำโด่งเพื่อนวัยเดียวกันอย่างเห็นได้ชัดให้ระวังอาจเสี่ยงเป็นโรคเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย (Precocious Puberty) ที่จะส่งผลให้เด็กมีการเจริญเติบโตเร็วในช่วงแรก และมีอายุกระดูกล้ำหน้าไปกว่าอายุจริง จากนั้นหัวกระดูกจะปิดเร็วกว่ากำหนด ทำให้เด็กที่โตเร็วในตอนแรกกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ตัวไม่สูงหรือตัวเล็กในอนาคตได้ ซึ่งโรคเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัยนี้ นอกจากจะส่งผลต่อเรื่องความสูงแล้ว ยังส่งผลต่อสภาพจิตใจของเด็กด้วย โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่มักจะมีพัฒนาการของเต้านมก่อนอายุ 8 ขวบ หรือมีประจำเดือนครั้งแรกก่อนอายุ 9 ขวบ ทำให้ร่างกายแตกต่างกับเพื่อนวัยเดียวกัน ส่วนเด็กชายสังเกตได้จากขนาดอัณฑะที่มักใหญ่กว่า 4 ซีซี เป็นต้น หากเด็กเป็นโรคนี้ควรต้องพบแพทย์เพื่อทำการรักษาชะลอความหนุ่มสาว ซึ่งแพทย์จะทำการตรวจวัดอายุกระดูก และปัจจัยอื่น ๆ อาทิ ฮอร์โมน พันธุกรรมความสูง ฯลฯ เพื่อวินิจฉัยและประเมินการรักษา รวมถึงให้คำปรึกษาว่าควรจะฉีดยาเพื่อชะลอการปิดของกระดูกเพื่อเพิ่มความสูงหรือไม่ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี

 

หากสงสัยว่าลูกของคุณสูงเร็วหรือสูงเกินวัยหรือไม่ สามารถพาลูกเข้ารับการตรวจและปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการด้านโรคเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัยโดยเฉพาะที่ศูนย์กุมารเวช โรงพยาบาลกรุงเทพ ซึ่งมีทีมแพทย์พร้อมตรวจวินิจฉัยและดูแลรักษาแบบองค์รวมครอบคลุมตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยรุ่น

27. ทำไมการนอนหลับถึงสำคัญ

A: การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอและในเวลาที่เหมาะสมจะช่วยกระตุ้นการสร้างGrowth Hormoneทำให้กระดูกและกล้ามเนื้อยืดยาวขึ้น เด็กจึงโตกลางคืนมากกว่ากลางวัน และยังช่วยให้สารเมลาโตนีนหลั่งได้ดีทำให้หลับสนิทซ่อมแซมร่างกายได้เต็มที่ เด็กจึงควรให้ความสำคัญกับการนอนแต่หัวค่ำ (ให้เด็กเข้านอนก่อน 22.00น) ให้เป็นเวลาและติดเป็นนิสัย และนอนในห้องที่มืดสนิทและอากาศเย็นสบายเพื่อให้ฮอร์โมนทั้งสองชนิดได้หลั่งออกมาทำงานได้เต็มที่

bottom of page